พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 1 เกริ่นนำ เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้
สำหรับเรื่องราวของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้น
ถ้าใครที่เคยได้ยินหรือได้ฟังเรื่องราวของพระองค์มาก่อนหน้านี้
ก็คงพอจะทราบกันมาบ้างแล้วว่า พระองค์ คือ
บุคคลที่จะมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป
และยังถือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้อีกด้วย
ซึ่งเรื่องราวของพระศรีอริยเมตไตรย์
รวมถึงเรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละพระองค์นั้น
ถือเป็นเรื่องราวที่พวกเราชาวพุทธทุกๆคนควรจะรู้ และจำเป็นต้องรู้
เพื่อที่เราจะได้นำเอาเรื่องราวการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ มาเป็น
ทิฏฐานุคติ หรือเอามาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของพวกเราชาวพุทธรวม
ถึงชาวโลกทุกคนด้วย เรื่องราวทั้งหมดที่นำมากล่าวนี้ มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
ทั้งที่เป็นเนื้อความจากพระไตรปิฎก, อรรถกถา และในพระคัมภีร์
การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น ถือเป็นการยากอย่างยิ่ง
ถ้าจะให้อุปมา...ก็ดั่งกับการงมเข็มในมหาสมุทร
กว่าจะพบเจอเข็มที่เล็กแสนเล็กในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ได้นั้น
ช่างยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด
การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...กลับยากแสนยากยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก
สาเหตุที่ยากแสนยากขนาดนี้ เพราะผู้ที่จะมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
จะต้องเป็นผู้ที่มีกำลังใจเปี่ยมล้นเหลือคณา
มีความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เปรียบประดุจบุคคลผู้มีใจที่จะเดินก้าวข้ามห้องที่มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาล
หนทางข้างหน้าล้วนเต็มไปด้วยถ่านเพลิงอันร้อนแรง
ผู้ใดมีใจที่จะก้าวข้ามไปถึงสุดห้องให้ได้โดยไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคขวากหนามอันใด
ผู้นั้นย่อมสามารถเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เพราะเหตุแห่งความยากแสนยาก
ในการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากถึงเพียงนี้
โลกแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ผ่านไปยุคแล้วยุคเล่า
จนกองกระดูกของสรรพสัตว์ทั้งหลายสูงท่วมเป็นภูเขา
ก็ยากที่จะมีผู้ใดได้เกิดมาพบเจอกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ในแต่ละกัปจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไม่เกินห้าพระองค์ บางกัปก็ไม่มี
บางกัปก็มีเพียงพระองค์เดียว)
เมื่อพระโพธิสัตว์พระองค์ใดสร้างบารมีจนมีความมุ่งมั่น
และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างไม่ถอยหลังกลับแล้ว
พระโพธิสัตว์พระองค์นั้นจะต้องลงมาบังเกิดร่วมยุคสมัยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเสียก่อน
จากนั้นจะต้องได้มีโอกาสถวายมหาทาน และตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนั้น
เมื่อได้ถวายมหาทานและตั้งความปรารถนาแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคสมัยนั้น
ก็จะทรงสอดข่ายพระญาณเพื่อตรวจดู ด้วยอนาคตังสญาณ ครั้นทรงพิจารณาเห็นว่า
“ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า
บุคคลผู้นี้จะได้มาตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง
อย่างแน่นอน”_พระองค์ก็จะทรงพยากรณ์ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พร้อมทั้งตรัสบอกถึง พระนาม พระโคตร พระพุทธบิดา พระพุทธมารดา อัครสาวก-สาวิกา
โพธิบัลลังก์ และระยะเวลาที่จะได้มาตรัสรู้ เป็นต้น
เพื่อจะได้เป็นเครื่องยืนยันในการตรัสรู้ธรรมในอนาคต
และเป็นเสมือนการให้กำลังใจในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นต่อไป
แม้พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา ก่อนที่พระองค์จะมาตรัสรู้
พระองค์ก็ทรงได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาแล้วถึง
24-พระองค์
ซึ่งจะขอยกตัวอย่างในบางช่วงที่พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สักสามพระองค์
ดังนี้
ในพระชาติที่พระองค์
ได้ไปบังเกิดเป็นสุเมธดาบส
และได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรื่องก็มีอยู่ว่า...ในพระชาตินั้น
พระองค์ได้ไปบังเกิดอยู่ในตระกูลพราหมณ์ที่มีฐานะร่ำรวยเป็นอย่างมาก
เป็นสุขุมาลชาติ นอกจากจะร่ำรวยแล้ว พระองค์ยังเป็นบุคคลผู้คงแก่เรียน กล่าวคือ
เรียนจบศาสตร์ต่างๆหลายแขนง
เมื่อโตเป็นหนุ่ม
บิดามารดาของพระองค์ก็ได้ถึงแก่กรรม
พระองค์จึงได้รับมรดกทั้งหมดที่บิดาและมารดาของพระองค์ได้สั่งสมมาตลอดเจ็ดชั่วโคตร
ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินหลายร้อยโกฏิ หลังจากที่พระองค์ได้รับมรดกมาแล้ว
พระองค์ได้มีความคิดว่า “คนในตระกูลของเราสั่งสมทรัพย์ไว้มากมาย
แต่เมื่อตายไปแล้ว...ทรัพย์แม้กหาปณะหนึ่งก็เอาติดตัวไปไม่ได้
เราควรกระทำเหตุให้ทรัพย์นี้ติดตัวเราข้ามภพข้ามชาติไปได้”
พร้อมกันนั้น
พระองค์ก็ได้เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ว่ามันเป็นทุกข์แสนสาหัส พระองค์จึงมีความปรารถนาที่จะออกไปจากภพ
กล่าวคือ เลิกการเวียนเกิดเวียนตายเสียที จากนั้นพระองค์ก็ได้คิดต่ออีกว่า
“เมื่อทุกข์มี...สุขก็ต้องมีฉันใด
เมื่อมีภพ...ก็ต้องมีทางออกจากภพได้ฉันนั้น”
ดังนั้น
พระองค์จึงตัดสินใจสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกบวชเป็นดาบสหรือฤษี
เมื่อออกบวชเป็นดาบสแล้ว พระองค์ก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียร จนสามารถบรรลุอภิญญา 5_สมาบัติ 8_และมีความสุขอยู่ในฌานสมาบัติที่พระองค์ได้เข้าถึง
และในกาลนั้นเอง...ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับพระองค์